
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว !! รีบเช็กอาการเสี่ยงก่อนสาย
การพูดคุยเรื่องทางเพศไม่ใช่เรื่องน่าอายอีกต่อไป ! 🙅🏻♀️ เพราะสัมันนี้ทุกคนต่างมองว่าเป็นเรื่องที่ธรรมชาติและปกติ ฉะนั้นเมื่อพูดถึงการมีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก คู่นอน หรือความสัมพันธ์แบบอื่นๆ หากมีเพศสัมพันธ์กันแล้วต้องคำนึงถึงหลายสิ่งหลายอย่างควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มักพบเจอบ่อยๆ จากคู่นอน เพื่อให้เราเข้าใจอย่างมากขึ้นเกี่ยวกับ ” โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ” เราควรรู้ถึงที่มาว่าเกิดจากอะไร มีโรคติดต่อประเภทไหนบ้าง พร้อมหาวิธีป้องกันไปด้วยนั่นเอง?
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากอะไร ?
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Disease) คือ กลุ่มโรคที่ติดต่อจากคนสู่คน หรือเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อชนิดต่างๆ โดยไม่ได้รับการป้องกัน ซึ่งส่วนใหญ่ติดต่อจากการร่วมเพศระหว่างชายและหญิงตลอดจนเพศสัมพันธ์จากกลุ่ม LGBT ด้วย โดยสามารถติดต่อจากการสัมผัสทางใดทางหนึ่ง ได้แก่ ทางปากช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และโรคกลุ่มนี้สามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกได้ หากพบว่าติดโรคมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์อย่างถูกต้องและปฏิบัติตนให้ถูกวิธีเพื่อการหลีกเลี่ยง

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตรวจยังไง? ใครควรตรวจบ้าง?
การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Diseases หรือ STDs) มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับประเภทของโรคที่ต้องการตรวจ โดยทั่วไปมีวิธีดังนี้
- การตรวจจากปัสสาวะ (Urinalysis)
- การตรวจเลือด (Blood Test)
- การตรวจจากสารคัดหลั่ง (Body fluid analysis)
- การตรวจภายใน (Pervic Exam)
- การตรวจร่างกาย (Physical Examination : PE)
เริ่มต้นแพทย์จะวินิจฉัย พร้อมซักประวัติคนไข้อย่างละเอียดเพื่อเลือกวิธีตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เหมาะสมที่สุด โดยทั่วไปแล้ววิธีที่นิยมมากที่สุดคือการตรวจผ่านการเจาะเลือด และการตรวจร่างกาย/ตรวจภายใน โดยการตรวจร่างกายหรือตรวจภายในนั้นจะใช้เพื่อวิเคราะห์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่แสดงอาการ เช่น โรค
เริม
หูด หนองใน หรือซิฟิลิสเป็นต้น ส่วนในกรณีของการตรวจเลือดจะนิยมใช้เพื่อตรวจหาโรคที่ไม่แสดงอาการ เช่น HPV, HIV เป็นต้น
ใครควรตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?
- คนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- คนที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันด้วยถุงยางอนามัยหรือถุงยางอนามัยฉีกขาดขณะมีเพศสัมพันธ์
- คนที่ใช้สารเสพติดร่วมขณะมีเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะการใช้สารเสพติดที่มีการใช้เข็มร่วมกัน
- คนที่ที่ตนหรือคู่นอนมีประวัติติดเชื้อมาก่อน แต่ไม่ได้ป้องกันอย่างถูกต้อง

⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?
1. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ HPV
มีสาเหตุสำคัญที่สามารถทำให้ก่อมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนักหรือมะเร็งช่องปากในผู้ชายได้ รวมถึงยังเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ตามบริเวณอวัยวะเพศทั้งภายในและภายนอกรวมบริเวณใกล้เคียงต่างๆ อย่างเช่น ขาหนีบ หรือทวารหนักได้อีกด้วย ซึ่งเชื้อนี้นั้นเกิดจากไวรัสHuman Papilloma Virusที่มีระยะฟักตัวตั้งแต่ 3 เดือนไปจนถึงหลายปีซึ่งอาการมักแสดงออกมาได้ 2 แบบ คืออาการของหูดหงอนไก่ที่จะมีลักษณะเป็นติ่งเนื้อคล้ายดอกกะหล่ำปลีขึ้นบริเวณอวัยวะเพศทวารหนักและง่ามขา และอาการที่ 2 ของโรคมะเร็งบริเวณอวัยวะเพศ เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งอัณฑะ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งทวารหนัก หรือมะเร็งช่องปาก เป็นต้น
✅ มีหูดหรือตุ่มนูนบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก
✅ หูดมีลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ อาจขึ้นเป็นกลุ่มหรือเดี่ยว
✅ อาการคัน ระคายเคือง หรือรู้สึกไม่สบายบริเวณอวัยวะเพศ
✅ บางสายพันธุ์ของ HPV ไม่มีอาการแต่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก
2. โรคเริม
ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) โดยจะมีอยู่ 2 ชนิดคือ HSV (Type 1) ที่ไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และ HSV (Type 2) ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและเป็นโรคที่ใช้เวลาในการฟักตัวซักพักถึงจะแสดงอาการ เมื่อหายดีแล้วเชื้อชนิดนี้ก็มักจะแอบซ่อนอยู่ในปมประสาทใต้ผิวหนังของเราและพร้อมแสดงอาการได้ทุกเมื่อหากร่างกายของเราอ่อนแอหรือมีการพักผ่อนน้อยโดยการแสดงอาการของโรคเริมที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นมักจะเริ่มจากการมีแผลบวมแดง มีตุ่มพองใสๆ ขึ้นบริเวณที่ได้รับเชื้อ เช่น อวัยวะเพศ ง่ามขา หรือปาก ซึ่งบางคนอาจมีอาการคันร่วมด้วย หลังจากนั้นตุ่มพองใสจะแตกและทำให้มีอาการเจ็บ ปวดแสบปวดร้อนก่อนจะค่อยๆ แห้งตกเป็นสะเก็ดประมาณ 2-6 สัปดาห์ โดยบางคนนั้นอาจมีอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หรือเกิดต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้ผิวหนังที่ติดเชื้อโตได้
✅ มีตุ่มน้ำใสหรือแผลพุพองบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ปาก หรือรอบๆ
✅ แผลแตกออกเป็นแผลเปิด ทำให้รู้สึกแสบและเจ็บ
✅ คัน บวมแดง หรือมีอาการเสียวแปลบที่อวัยวะเพศ
✅ ปัสสาวะแสบขัด (ถ้าตุ่มพุพองอยู่ใกล้ท่อปัสสาวะ)
✅ มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว คล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ (อาการช่วงแรกติดเชื้อ)
3. โรคติดต่อซิฟิลิส
ซิฟิลิสมาจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Treponema Pallidum โดยมีระยะฟักตัว 1-90 วัน แต่ส่วนมากจะเฉลี่ยอยู่ที่ 21 วัน โดยเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่มีความรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง เนื่องจากโรคซิฟิลิสนั้นสามารถติดต่อได้ผ่านทางแผลเล็กๆ บนผิวหนัง โดยส่วนมากเกิดได้ที่บริเวณช่องคลอด ทวารหนัก และปาก จึงทำให้พบโรคนี้ได้มากในกลุ่มวัยรุ่นตลอดจนช่วงมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย หรือเยาวชนที่มีอายุเพียง 15-24 ปีโดยอาการของซิฟิลิสนั้นจะเกิดอาการเป็นระยะดังนี้
✅ ระยะที่ 1: มีแผลริมแข็ง (Chancre) ที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก (ไม่เจ็บ)
✅ ระยะที่ 2: มีผื่นแดงตามลำตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
✅ ระยะที่ 2: มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อย
✅ ระยะที่ 3 (รุนแรง): อาจส่งผลต่อสมอง หัวใจ หรือระบบประสาท (หากไม่รักษา)
4. โรคหนองในแท้และหนองในเทียม
อาการของหนองในแท้ ในผู้ชายอาจมีหนองขาวขุ่นหรือเขียวไหลออกมาจากท่อปัสสาวะร่วมกับอาการเจ็บลึกๆ หรือแสบขัดขณะปัสสาวะ ในขณะที่ผู้หญิงอาจไม่มีอาการหรืออาการแสดงน้อย เช่น ตกขาวผิดปกติ ท่อปัสสาวะและปากมดลูกอักเสบ มีหนองไหลออกมาจากปากมด
✅ มีตกขาวข้นเป็นหนอง สีเหลืองหรือเขียว (ผู้หญิง)
✅ มีหนองไหลออกจากปลายอวัยวะเพศ (ผู้ชาย)
✅ ปัสสาวะแสบขัด ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะ
✅ ปวดท้องน้อย (ผู้หญิง)
✅ เจ็บคอเรื้อรัง (หากติดเชื้อทางปาก)
อาการหนองในเทียม มักจะแสดงคล้ายกับหนองในแท้แต่รุนแรงน้อยกว่า โดยในผู้ชายนั้นมักจะมีคราบเหลืองติดที่กางเกงใน ส่วนผู้หญิงจะมีอาการคล้ายตกขาวแต่เป็นสีเหลืองตลอดเวลาและมักจะเป็นเรื้อรัง
✅ อาการคล้ายหนองในแท้ แต่บางครั้งไม่มีอาการชัดเจน
✅ ตกขาวผิดปกติ มีกลิ่น หรือมีสีเหลืองขุ่น
✅ ปัสสาวะแสบขัด หรือปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
✅ เจ็บท้องน้อย (ถ้าติดเชื้อที่มดลูกหรือท่อนำไข่)
✅ ติดเชื้อที่ตา (ถ้ามือสัมผัสสารคัดหลั่งแล้วขยี้ตา)
5. อาการของโรค HIV
HIV เป็นเชื้อที่สามารถติดต่อได้จากการผ่านทางสารคัดหลั่งต่างๆ เช่น เลือด น้ำเหลือง น้ำอสุจิ ช่องคลอด หรือน้ำนม เป็นต้น โดยเชื้อจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องและทำให้เกิดโรคเอดส์(AIDS) ซึ่งผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีไม่จำเป็นต้องเป็นโรคเอดส์เสมอไป เพียงแต่หากติดเชื้อเอชไอวีแล้วเชื้อจะอยู่ในร่างกายตลอดไป❗อีกทั้งเชื้อเอชไอวีนี้สามารถติดต่อผ่านแม่สู่ลูกได้ในระยะการคลอดหรืออาจได้รับเชื้อจากน้ำนมแม่ด้วยเช่นกัน โดยทั่วไปผู้ติดเชื้อเอชไอวีมักไม่แสดงอาการให้เห็นชัดเจนแต่สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ 7 วันขึ้นไปตามเทคนิคการตรวจเพาะเชื้อด้วยวิธีต่างๆ ของแพทย์
✅ ไข้ต่ำๆ ต่อมน้ำเหลืองโต (ช่วงแรกของการติดเชื้อ)
✅ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว
✅ น้ำหนักลดผิดปกติ
✅ มีแผลร้อนในเรื้อรังในปากหรืออวัยวะเพศ
✅ ติดเชื้อง่าย เช่น ปอดบวม เชื้อราในปาก วัณโรค
⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕
วิธีป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
วิธีที่ดีที่สุดคือ งดการมีเพศสัมพันธ์ และปฏิบัติดังต่อไปนี้
- ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ และเมื่อมีเพศสัมพันธ์ต้องสวมเครื่องป้องกัน อย่างเช่น ถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อเป็นการป้องกันขั้นต้น
- ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งโดยเฉพาะกรณีที่มีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า
- ห้ามร่วมเพศหากมีประจำเดือนอยู่ เพราะจะทำให้เกิดความเสี่ยงของการติดโรคได้มากยิ่งขึ้น
- ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพราะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ง่าย
- ควรตรวจเลือดประจำปีทุกครั้ง เพื่อหาเชื้อโรคในกลุ่มที่มีความเสี่ยงโดยเฉพาะคู่ที่แต่งงานใหม่ การพบแพทย์เป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหากเป็นระยะแรกก็สามารถรักษาได้ทันท่วงที
ข้อควรปฏิบัติเมื่อเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ควรงดร่วมเพศรวมทั้งสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคออกไป
- ไม่ควรซื้อยารักษาด้วยตัวเองควรเข้าตรวจรักษากับแพทย์เท่านั้น เพราะอาจทำให้เชื้อเกิดการดื้อตัวยาได้
- ยารักษาไม่หาย การเข้ารักษากับแพทย์โดยตรงจะส่งผลดีกับตัวเองและได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องในการรักษามากกว่า
- ไปตรวจรักษาตามนัดทุกครั้งและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ควรแจ้งให้สามีภรรยาทราบและควรพาคู่นอนไปตรวจรักษาโดยเร็วที่สุดเมื่อทราบว่าตนเองเป็นโรค
- เมื่อตรวจพบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ควรเจาะเลือดตรวจหาเชื้อเอชไอวี
- ในกรณีเกิดหนองในผู้ชายไม่ควรรีดอวัยวะเพศเพื่อดูหนอง เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบได้มากยิ่งขึ้น• รักษาอวัยวะเพศและบริเวณใกล้เคียงให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ
- ควรงดดื่มเหล้า เบียร์ และเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ทุกชนิด
การมีเพศสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ผิด อย่างที่บอกว่าเป็นสิ่งที่เปิดกว้างและเป็นเรื่องที่เรามองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่สิ่งที่ควรคำนึงหรือใส่ใจมากๆ หากมีเพศสัมพันธ์ต้องอย่าลืมป้องกันอย่างการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อลดโอกาสการเกิด ” โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ” นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นคนรัก คู่นอนแปลกหน้า โดยเฉพาะคู่ที่จะเริ่มแต่งงานใหม่อย่าลืมจับมือกันไปตรวจโรคเพื่อความสบายใจทั้งสองฝ่ายกันด้วย เพระหากเกิดการติดต่อโรคทางเพศสัมพันธ์ขึ้นมาเรียกได้ว่าไม่คุ้มกับตัวเราเองสุดๆ ฉะนั้นป้องกันตั้งแต่แรกๆ อย่างการสวมถุงยางอนามัยและโดยเฉพาะผู้หญิงหลังการมีเพศสัมพันธ์เสร็จควรไปปัสสาวะออกให้เร็วที่สุดและทำความสะอาดเพื่อลดการเสี่ยงติดโรคนั่นเอง
ขอบคุณรูปภาพจาก : Freepik
ขอบคุณข้อมูลจาก
Bangkok Pattaya Hospital
,
SAMITIVEJ CHINATOWN
,
Intouch Medicare
,
VIMUT
Leave a Reply