
Triangular theory of love ทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก จริงๆ แล้วความรักคืออะไร ?
“ความรัก” เป็นสิ่งที่ทุกคนมักจะบอกเสมอว่ามันคือสิ่งสวยงาม สิ่งที่ทำให้มีความสุขและรู้สึกเจ็บปวดไปด้วยในบางเวลาเดียวกัน ทุกคนรู้ว่ารักคืออะไรแต่จะมีใครสามารถที่จะอธิบายได้บ้างว่าจริงๆ แล้วความรักคืออะไรกันแน่ เพราะนิยามความรักของแต่ละคนมักจะมีข้อแตกต่างกันอยู่เสมอเพราะความรักสามารถเกิดขึ้นได้หลากหลายความสัมพันธ์ทั้งความสัมพันธ์แบบคู่รัก สามีภรรยา ครอบครัว เพื่อน พี่น้อง แม้แต่ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นชั่วคราวหรือข้ามคืน เป็นต้น ดังนั้นเวลาที่เราไปถามใครที่อยู่ในความสัมพันธ์นั้นๆ ทุกคนก็จะให้คำตอบที่ไม่เหมือนกันและไม่สามารถนิยามออกมาให้เราเห็นภาพได้ชัดเจน แต่ในบทความนี้เราจะพาเพื่อนๆ ชาวซิสมารู้จักกับนิยามความรักที่ตีออกมาให้เราได้เห็นภาพมากขึ้น ซึ่งเชื่อมโยงกับจิตวิทยาที่มีทฤษฎีเป็นเกณฑ์โดยทฤษฎีนี้ถือว่าเป็นที่ยอมรับทั้งในและนอกวงการของวิชาการ นั่นคือ ‘นิยามความรักของโรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก ( Robert Sternberg )’ หรือ ‘ Triangular theory of love ( ทฤษฎีสามเหลี่ยมของความรัก ) ’ นั่นเอง จะครอบคลุมความรักที่หลากหลายรูปแบบนี้อย่างไร และความสัมพันธ์ที่เราสงสัยจะอยู่ในข้อไหนตามไปดูกันเลย
♥ ▲ ▼ ▲ ▼ ▲ ▼ ▲ ▼ ▲ ▼ ♥
ทฤษฎีสามเหลี่ยมของความรัก
Triangular theory of love คืออะไร ?
Triangular theory of love
หรือทฤษฎีสามเหลี่ยมของความรัก เป็นทฤษฎีนิยามความรักของโรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก นักจิตวิทยาชาวสหรัฐที่ได้คิดค้นทฤษฎีนี้ตั้งแต่ปี 1986 จนถึงปัจจุบัน เป็นนิยามความรักหนึ่งที่ได้รับความนิยมทั้งในและนอกวงการของวิชาการ และยังครอบคลุมความรักหลากหลายรูปแบบพร้อมฟังดูสมเหตุสมผล โดยในปัจจุบันนั้นหากพูดถึงจิตวิทยาความรักทฤษฎีนี้ถือเป็นที่นิยม และยังมีงานวิจัยที่ยังคงทดสอบรูปแบบความรักดังกล่าวอยู่เสมอในปัจจุบัน
สเติร์นเบิร์ก ได้นิยามความรักไว้ว่าเป็นธรรมชาติและรูปแบบของความรัก ทั้งเป็นความรู้สึกที่ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 3 องค์ประกอบ จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ ทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก (Triangular theory of love) ขึ้นมานั่นเอง ซึ่งประกอบไปด้วย
ความใกล้ชิด (Intimacy)
เป็นองค์ประกอบด้านอารมณ์คือ มีความคุ้นเคยใกล้ชิดกันในความรู้สึก ความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง ความเอื้ออาทรต่อกัน สื่อสารกันได้อย่างดี มีความไว้วางใจต่อกัน ซึ่งจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาของความสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นในความสัมพันธ์อาจรู้สึกถึงการถูกชะตา รู้สึกนิสัยเข้ากันได้ทั้งทั้งที่รู้จักกันไม่นาน
ความเสน่หา (Passion)
เป็นองค์ประกอบด้านแรงจูงใจ เกิดจากความน้องการในร่างกายหรือความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นทางสรีระเป็นความดึงดูดทางเพศ เช่น ความพอใจในรูป กลิ่น เสียง หรือจริตกิริยาของอีกฝ่ายหนึ่ง หรือเสน่ห์อื่นๆ และยังรวมถึงเหตุกระตุ้นอื่นๆ ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกโรแมนติกได้ ซึ่งรู้สึกหลงใหลในรูปร่างหน้าตาให้ความรู้สึกที่เร่าร้อนในความสัมพันธ์
ความผูกมัด (Commitment)
เป็นองค์ประกอบด้านความคิดคือ การตัดสินใจที่จะรัก หรือมีพันธะทางใจหรือทางสังคมต่อกัน การใช้เวลาร่วมกันในกิจกรรมต่างๆ หรือการใช้ชีวิตร่วมกันต่อเนื่องเป็นเวลานาน ความรับผิดชอบในพันธะที่ตกลงต่อกันเมื่อเริ่มผูกพันธะต่อกันจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อมีความสนิทสนมกันมากขึ้น และจะมีการเปลี่ยนไปตามระดับของความสุขหรือความพอใจในแต่ละช่วงเวลา หากมีปัญหายุ่งยากในความสัมพันธ์ระหว่างกันพันธะผูกพันอาจลดลงไป
องค์ประกอบด้าน
‘ความใกล้ชิด’
เป็นแกนหลักที่สามารถพบได้ในความสัมพันธ์ทุกรูปแบบทั้งยังมีมีความคงทนค่อนข้างสูง และมีบทบาทสำคัญในความสัมพันธ์ระยะยาว ส่วน
‘ความเสน่หา’
มักพบในความสัมพันธ์เชิงคู่รักเท่านั้น หรืออาจจะสื่อไปถึงความรักชั่วข้ามคืน ชั่วคราวก็ได้เช่นกัน ซึ่งมักจะเด่นชัดในความทรงจำและมีบทบาทสำคัญในความสัมพันธ์ระยะสั้น มีผลต่อปฏิกิริยาทางร่างกายและการรับรู้ความเจ็บปวด ขณะที่
‘ความผูกมัด’
นั้นมีความผันแปรไปแต่ละช่วงอายุ เช่น มีความผูกมัดกับครอบครัวในวัยเด็ก ผูกมัดกับเพื่อนในช่วงวัยรุ่น และผูกมัดกับคนรักในวัยผู้ใหญ่ มีผลต่อการรับรู้ความเจ็บปวดและความสามารถในการควบคุมตัวเอง
♥ ▲ ▼ ▲ ▼ ▲ ▼ ▲ ▼ ▲ ▼ ♥
8 ประเภทความสัมพันธ์มีอะไรบ้าง ?
ความรักของเราเป็นแบบไหนกันแน่? ซึ่งในมุมมองของสเติร์นเบิร์กมีหลากหลายแบบ โดยความรักไม่จำเป็นต้องมีส่วนประกอบครบทั้ง 3 อย่าง สามารถมีหนึ่งหรือสองอย่างก็ได้ถือเป็นความรักรูปแบบหนึ่ง และเพื่อให้เราเข้าใจถึงองค์ประกอบของความรักทั้ง 3 ที่พูดมาข้างต้น เราจะลองมาจำแนกความรักออกเป็นประเภทต่างๆ แบ่งออกมาได้ 8 ประเภทความสัมพันธ์มีดังนี้
‘Non Love’
หรือ
‘ไม่รัก, การไม่มีความรัก’
เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่ไม่มีองค์ประกอบทั้ง 3 เลย เรียกได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนแบบง่ายๆ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่มีมีความรู้สึกหรือรักมาเกี่ยวข้อง ไม่มีส่วนประกอบใดเลยอาจจะไม่นับว่าคือรูปแบบความรักก็ได้
‘Liking’
หรือ
‘ชอบ’
เป็นความรักที่มีแค่ความสนิทอย่างเดียวหรือเกิดจากความใกล้ชิด เช่น นึกถึงเพื่อนตอนสมัยเรียน เป็นความสนิทที่ใกล้ชิดในช่วงเวลานั้นๆ มีทั้งความสุข เฮฮาตอนอยู่ใกล้ๆ กัน แต่เราไม่ได้คิดเรื่องที่ผูกมัดให้เพื่อนอยู่กับเราไปจนแก่ และเราไม่ได้หลงใหลหน้าตาหรืออยากมีความสัมพันธ์เชิงนั้นกับเพื่อน
‘Infatuated Love’ หรือ ‘รักแบบหลงใหล’ มีแค่เสน่หาอย่างเดียว หรือการที่เราหลงใหลในหน้าตาหรือต้องการมีเพศสัมพันธ์ด้วย เช่น ONS หรือ One Night Stand ความรักแบบชั่วข้ามคืนที่เน้นความสัมพันธ์แบบชั่วคราว เจอกัน ปิ๊งกัน แล้วจบกันในวันเดียวเท่านั้น เสร็จแล้วก็แยกย้ายไม่ได้คิดจะสานสัมพันธ์อะไรต่อ ไม่คิดจะลองเปิดอกคุยกันให้สนิทกันมากขึ้น บางคนอาจจะเจอกันหลายครั้งก็ได้ขึ้นอยู่กับการตกลงของกันและกันแต่สุดท้ายเมื่อเจอกันก็ไม่ตกลงหรือทำสัญญาผูกมัดกันและกันไว้ ถ้าให้เห็นภาพง่ายๆ คือผ่านการดีลกัน และตัดสินใจไปต่อด้วยกันโดยใช้ระยะเวลาตัดสินใจไม่นาน หรือแทบจะไม่ต้องตัดสินใจอาจจะคลิกกันและไปต่อด้วยกันได้ หรือบางคนอาจจะนัดเจอกันผ่านการเจอกันโดยบังเอิญผ่านแอปก็ได้ ความสัมพันธ์เน้นจบคืนเดียวเป็นส่วนใหญ่ซึ่งจะไม่แปลกถ้าตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นอีกฝ่าย แต่ก็มีบางคนที่คลิกกันแล้วแลกคอนแทคเพื่อกลับมาเจอกันอีก ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับทั้งสองฝ่ายว่าจะพัฒนาหรือจบแค่นั้นนั่นเอง
‘Empty Love‘
หรือ
‘รักแบบว่างเปล่า’
มีแค่ความผูกมัดอย่างเดียว เพราะไม่มีทั้งความสุขที่อบอุ่นของความสนิท หรือที่เร่าร้อนของเสน่หา แต่ก็ต้องอยู่กันไปด้วยเหตุผลบางอย่าง เช่น คู่ที่ถูกบังคับให้แต่งงานหรือคลุมถุงชน ซึ่งในช่วงแรกๆ อาจจะเกิดความรักรูปแบบนี้คือรู้สึกว่าแต่งงานกันแล้วก็ต้องอยู่ด้วยกันไปไม่ได้คิดอะไร เพราะอาจจะกลัวเสียชื่อเสียง หรือคิดว่าอยู่ๆ ไปอาจจะรักกันขึ้นเองก็ได้ เพียงแค่อยู่ร่วมกันก็พอ
‘Companionate Love’
หรือ
‘รักแบบมิตรภาพ’
มีทั้งความสนิทและความผูกพันในระยะยาว เช่น รักที่มีต่อพ่อแม่ พี่น้อง คนในครอบครัว รวมถึงเพื่อนสนิทที่อยากจะไปมาหาสู่กันจนแก่ หรือคนที่เป็นแฟน แม้กระทั่งคู่แต่งงาน หากอยู่กันไปนานๆ ความตื่นเต้น ความเร่าร้อนของเสน่หาก็หายไปกับกาลเวลาแต่ความสนิทและความผูกพันยังคงอยู่ก็ถือว่าเป็นรูปแบบความรักอีกรูปแบบหนึ่งได้
‘Romantic Love’
หรือ
‘รักแบบโรแมนติก’
มีทั้งความสนิทและเสน่หาเป็นความรักที่เกือบจะสมบูรณ์ของคู่รักหรือคู่แต่งงาน เพราะมีความสุขกับความรักในแง่ของความอบอุ่นใกล้ชิด หรือเรื่องบนเตียงอันเร่าร้อน แต่ไม่ได้คิดไกลว่าต้องรักกันไปอีกนานแค่ไหนมักจะเกิดในช่วงวัยรุ่นที่ไม่ถึงขั้นจะแพลนแต่งงาน หรืออาจจะกับคนที่รู้สึกถูกชะตาในช่วงแรกๆ ที่ยังไม่มั่นใจว่าจะคบกับคนนี้จริงจังแค่ไหน
ซึ่งรักแบบนี้สามารถจำกัดความสัมพันธ์แบบ
‘WWE’
ได้ เพราะในความสัมพันธ์นี้คือการที่มีความรู้สึกเกิดขึ้นจริง ทำทุกอย่างด้วยกันเหมือนคู่รักทั้งใกล้ชิด และเกิดเสน่หา อยากจะอยู่ใกล้กันและได้สัมผัสและถ่ายทอดความรู้สึกระหว่างกันแต่เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีพันธะผูกมัด หรือไม่มีสถานะระหว่างกันและกันเน้นอยู่ด้วยกันหรือทำอะไรด้วยกันเหมือนแฟนแค่นั้น
‘Fatuous Love’
หรือ
‘รักหลงรูป’
คำว่า Fatuous จริงๆ แล้วแปลว่า “ประหลาด” รักรูปแบบนี้ประหลาดเพราะมันมีเสน่ห์ห่างกับความผูกมัด หรือก็คือผูกมัดคนรักไว้ด้วยเรื่องทางกามารมณ์ รูปร่างหน้าตา คู่นอนที่เจอกันบ่อยๆ ก็อาจจะเกิดความรักแบบนี้ หรือรักในแวดวงดาราที่มีแต่คนหน้าตาดีหลงใหลรูปลักษณ์กันตอนทำงานด้วยกัน คู่แต่งงานที่ชอบพอเพราะหน้าตาถูกใจและรีบร้อนแต่งงานจนยังไม่สนิทกันก็ถือเป็นความรักในรูปแบบนี้
‘Consummate Love’
หรือ
‘รักสมบูรณ์แบบ’
มีองค์ประกอบครบถ้วนทั้ง 3 องค์ประกอบ ไม่ว่าจะความสนิท เสน่หา และความผูกมัด หากพูดถึงความรักแบบแฟน สามีภรรยา คู่แต่งงาน รักแบบนี้ถือว่าดีที่สุด เป็นรักในอุดมคติ สนิทใกล้ชิดเข้าใจกันและกันจนให้ความรู้สึกอบอุ่น จนอยากรักกันไปแบบนี้นานๆ
♥ ▲ ▼ ▲ ▼ ▲ ▼ ▲ ▼ ▲ ▼ ♥
ทริครักษาความสัมพันธ์ยังไง ให้รักยาวนาน
คู่รักทุกคู่ต่างก็ต้องเผชิญกับความท้าทายที่อาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ ซึ่งอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยแต่หากเกิดขึ้นหนึ่งครั้งหรือมีครั้งถัดไปอาจทำให้ความสัมพันธ์นั้นเกิดการสั่นคลอนได้ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้ง การทะเลาะเบาะแว้ง ความเบื่อหน่ายจำเจ หรือความไม่เข้าใจกัน โดยสิ่งสำคัญสำหรับความสัมพันธ์นั้นคือต้องเข้าใจกันและเปิดอกคุยกัน ร่วมฝ่าฟันและรักษาความสัมพันธ์ให้ครบทั้ง 3 องค์ประกอบเอาไว้ให้ได้ ดังนั้นหากใครอยู่ในความสัมพันธ์ที่เริ่มสั่นคลอนลองนำคำแนะนำนี้ไปปรับใช้ได้
-
รักษาการสื่อสารที่ดีต่อกัน
พูดคุยกันอย่างสม่ำเสมอ ซื่อสัตย์และเปิดเผยต่อกัน เปิดอกรับฟังอีกฝ่ายอย่างตั้งใจแสดงความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ หากมีข้อขัดแย้งก็พยายามหันหน้าเข้าหากันพูดคุยหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งคู่ -
สานต่อความใกล้ชิด
ผูกพันด้วยการใช้เวลาร่วมกันทำกิจกรรมไปด้วยกัน แบ่งปันความฝันความหวังให้ความช่วยเหลือกันในยามที่อีกฝ่ายต้องการ สร้างความไว้วางใจโดยการรักษาคำพูดและคำสัญญา -
รักษาความหลงใหลและดึงดูดทางเพศ
โดยการลองสิ่งใหม่ๆ ที่ตื่นเต้นด้วยกันเป็นครั้งคราว กระตุ้นความรู้สึกโรแมนติก เช่น จูบ กอด การสัมผัส การพูดจาหวานหู สื่อสารเรื่องเพศอย่างเปิดเผย ใส่ใจความพึงพอใจของกันและกัน แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่ายังคงรักและปรารถนาอยู่เสมอ -
แสดงความมุ่งมั่น
โดยการพูดถึงอนาคตว่าจะอยู่อด้วยกันไปนานแค่ไหน ทำอะไรให้อีกฝ่ายเห็นว่าเรามีความจริงจังในความสัมพันธ์นี้ เช่น อาจจะพาไปแนะนำให้ครอบครัวรู้จัก วางแผนแต่งงานหรืออยู่ร่วมกัน ยืนเคียงข้างกันในยามสุขและทุกข์ไป -
หาวิธีสร้างความความสัมพันธ์ให้ใหม่ๆ อยู่เสมอ
อย่ายึดติดกับกิจวัตรเดิมๆ จนเกิดความเบื่อหน่าย ลองไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปด้วยกัน ออกเดตในสถานที่ที่รู้สึกไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยไป สับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ในงานบ้านหรือชวนกันทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อเพิ่มความตื่นเต้นในความสัมพันธ์ -
ดูแลตัวเองทั้งสุขภาพกายและใจ
คู่รักที่มีความสุขต้องเริ่มจากการที่ต่างฝ่ายต่างมีความสุขในตัวเองก่อน ลองหาเวลาทำในสิ่งที่ตัวเองรักและสนใจ ออกกำลังกาย กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ และใช้เวลากับคนที่เรารัก ความสมดุลและความสุขในตัวเราก็จะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ต่อไปและต่อเนื่องอีกด้วย
ความรักเรียกได้ว่าเกิดจากการหลอมรวมความใกล้ชิด ความเสน่หา และความผูกพัน ซึ่งถือว่าเป็นความรักที่ค่อนข้างลึกซึ้งกว่าอารมณ์ชั่ววูบ เป็นการเลือกที่จะรักและอยากจะสร้างความสัมพันธ์อย่างจริงจังและจริงใจกับคนรักของเรา ซึ่งการรักษาความรักให้ยาวนานนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแม้จะอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นในเชิงมิตรภาพก็ตาม ทั้งนั้นแล้วทั้งสองฝ่ายหรือใครที่อยู่ในความสัมพันธ์นั้นๆ ที่มีความรักซ่อนอยู่ ต้องพยายามโอบอุ้ม เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน อดทน และให้อภัยมองข้ามในเรื่องของข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ลองปรับความเข้าใจและแก้ไขปัญหาตรงนี้ เรียนรู้พร้อมที่จะเติบโตไปด้วยกันความรักก็จะเพิ่มความเหนียวแน่นและสวยงามในความสัมพันธ์ทุกๆ วัน
♥ ▲ ▼ ▲ ▼ ▲ ▼ ▲ ▼ ▲ ▼ ♥
สรุป
บทสรุปของทฤษฎี
Triangular theory of love
หรือทฤษฎีสามเหลี่ยมของความรัก ที่เป็นนิยามความรักของโรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก เรียกได้ว่าสมเหตุสมผล และสามารถนิยามความรักที่มีหลากหลายแบบอย่างครอบคลุมได้เป็นอย่างดี ใครที่สงสัยว่าความรักและความสัมพันธ์จริงๆ ของทั้งคู่คืออะไร สามารถลองนำไปเปรียบเทียบและดูว่าเรานั้นอยู่ในความสัมพันธ์แบบไหน อย่างที่บอกความสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบครบองค์ประกอบทั้ง 3 เพียงแค่อยู่ใน 1 ในนั้นก็ถือเป็นความรักรูปแบบหนึ่งแล้ว เราพอใจที่จะอยู่แบบไหนนั้นขึ้นอยู่กับตัวเราเพราะความสมบูรณ์แบบในความรักถ้าเจอคือเรื่องดี ถ้ายังไม่เจอก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้กันไป
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลจาก :
คณะจิตวิทยาจุฬาลงกรณ์
,
ThePOTENTIAL
,
iStrongteam
Leave a Reply